วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development)

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New product development)
New product หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
  1. Innovation หมายถึง ผลิตภัณฑ์นวตกรรมใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาด
  2. Modified หมายถึง ผลิตภัณฑ์ปรับปรุงใหม่ โดยการปรับเปลี่ยน ดัดแปลงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้มีความแปลกใหม่มากขึ้น
  3. Me-too หมายถึง ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบ โดยการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขัน เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับบริษัท แต่เก่าในตลาด


ขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

  1. การสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ (Idea generation)
        ในขั้นนี้เป็นการสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยแหล่งข้อมูลที่จะนำมาใช้ใน
การคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น แบ่งออกเป็น 2 แหล่งด้วยกัน คือ
  (1) แหล่งภายในองค์กร ได้แก่
  พนักงานขาย (Salespersons) ถือเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้บริโภค และทราบถึงความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด
 ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D Specialists) เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับการพัฒนาเทคโนโลยี
ใหม่ๆ
 ผู้บริหารระดับสูง (Top Management) เป็นบุคคลที่ทราบถึงจุดอ่อน จุดแข็งของบริษัท จึงเป็นเหมือนผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
  (2) แหล่งภายนอกองค์กร ได้แก่
  ลูกค้า (Customers) ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์
ที่บริษัทจะเสนอขายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
สมาชิกในช่องทางการจัดจำหน่าย (Channel Members) เป็นอีกแหล่งข้อมูล
หนึ่งที่ทราบถึงความต้องการของลูกค้า เช่น พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย เป็นต้น
คู่แข่งขัน (Competitors) การเคลื่อนไหวทางการแข่งขัน รวมถึงกลยุทธ์ของคู่แข่ง
ก็เป็นอีกแหล่งข้อมูลหนึ่งที่ช่วยบริษัทในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่
  2. การประเมินและคัดเลือกแนวความคิด (Idea screening)
     หลังจากได้แนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ก็จะต้องมีการนำแนวความคิดเหล่านั้นมา
ทำการประเมินถึงความเป็นไปได้ และคัดเลือกแนวความคิดที่ดีและเหมาะสมที่สุด มาทำการพัฒนา
และทดสอบแนวความคิดต่อไป
  3. การพัฒนาและทดสอบแนวความคิด (Concept development and testing)
      เมื่อได้แนวความคิดที่ดีและเหมาะสมที่สุดจากขั้นตอนที่สองแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการนำแนวความคิด
ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วนั้นมาพัฒนาให้มีความชัดเจนมากขึ้น และนำไปทดสอบกับกลุ่มผู้บริโภค
เป้าหมาย เพื่อวัดความรู้สึกและการยอมรับในผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
  4. การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด (Marketing strategy development)
       ในขั้นนี้เป็นการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ทางการตลาด การทำ STP Marketing (การแบ่งส่วนตลาด การเลือกตลาดเป้าหมาย และการกำหนด
ตำแหน่งผลิตภัณฑ์) และการออกแบบกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix : 4 P's)
  5. การวิเคราะห์สภาพทางธุรกิจ (Business analysis)
เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์และความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ในการนำผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย เช่น การคาดคะเนถึงความต้องการซื้อ ต้นทุนและผลกำไรที่จะได้รับ เป็นต้น
  6. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product development)
      เมื่อแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้ง 5 ขั้นมาแล้ว ในขั้นนี้จะ
เป็นการพัฒนาแนวความคิดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
   7. การทดสอบตลาด (Market testing)
      ก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่าย ควรมีการทดสอบตลาดก่อน โดยอาจจะทำในรูปของการ
วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในขอบเขตที่จำกัด หรือให้ผู้บริโภคทำการทดลองใช้หรือบริโภคผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเป็นการวัดการยอมรับของลูกค้าเป้าหมาย ทำให้ทราบถึงจุดดี จุดด้อยของผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไป
ปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น และตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด
  8. การดำเนินธุรกิจ (Commercialization)
เมื่อผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบตลาดแล้ว ในขั้นสุดท้ายก็จะเป็นการนำผลิตภัณฑ์ใหม่
ออกวางจำหน่ายจริงตามแผนการตลาดที่ได้วางแผนเอาไว้ ขั้นนี้จึงเป็นขั้นแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ (Introduction Stage) ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product life Cycle : PLC)

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แนวความคิดเกี่ยวกับสื่อใหม่ (New Media)

แนวความคิดเกี่ยวกับสื่อใหม่ (New Media)


ความหมายของสื่อใหม่
สื่อ (Media) เป็นช่องทางการสื่อสารที่นำเสนอเนื้อหาของสารไม่ว่าจะเป็นข่าว ข้อมูลบันเทิงหรือโฆษณาไปสู่ผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงระบบเทคโนโลยี นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสื่อที่พัฒนาให้ดีขึ้นนับจากสื่อบุคคลที่เปลี่ยนแปลงเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อสิ่งพิมพ์พัฒนาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ คือ สื่อวิทยุและสื่อโทรทัศน์ ในปัจจุบันการพัฒนาระบบเทคโนโลยีไม่หยุดนิ่ง สื่ออินเทอร์เน็ตพัฒนาขึ้นมาเพื่อการติดต่อสื่อสารเพิ่มขึ้น ดังนั้นกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบเทคโนโลยีสามารถแบ่งสื่อออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะของการใช้สื่อเพื่อการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ คือ สื่อแบบดั้งเดิม และสื่อใหม่ (พรจิต  สมบัติพานิช, 2547: 4)
                1)  สื่อดั้งเดิม (Traditional Media) หมายถึง สื่อที่ผู้ส่งสารทำหน้าที่ส่งสารไปยังผู้รับสารได้ทางเดียวที่ผู้รับสารไม่สามารถติดต่อกลับทางตรงไปยังผู้ส่งสารได้ สามารถแบ่งย่อยได้ดังนี้  สื่อที่ทำหน้าที่ส่งสารเพียงอย่างเดียว หมายถึง สื่อที่ทำหน้าที่ส่งสารตัวหนังสือหรือเสียง หรือภาพ ไปอย่างเดียว ได้แก่ หนังสือพิมพ์ สื่อโทรเลข และสื่อวิทยุ  แลสื่อที่ทำหน้าที่ส่งสารสองอย่าง คือ ส่งทั้งภาพและเสียงพร้อมกัน ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อภาพยนตร์
                2)  สื่อใหม่ (New media) หมายถึง สื่อที่เอื้อให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารทำหน้าที่ส่งสารและรับสารได้พร้อมกันเป็นการสื่อสารสองทาง และสื่อยังทำหน้าที่ส่งสารได้หลายอย่างรวมกัน คือ ภาพ เสียง และข้อความไปพร้อมกัน โดยรวมเอาเทคโนโลยีของสื่อดั้งเดิม เข้ากับความก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีสัมพันธ์ ทำให้สื่อสามารถสื่อสารได้สองทางผ่านทางระบบเครือข่ายและมีศักยภาพเป็นสื่อแบบประสม (Multimedia) ปัจจุบันสื่อใหม่พัฒนาขึ้นหลากหลาย ที่เป็นที่รู้จักและนิยมกันมากขึ้น (Burnett, R. and Marshall D. P. 2003: 40-41)
บทบาทของเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร โครงข่ายโทรศัพท์ อุปกรณ์ภาพและเสียงมีผลกระทบต่อ "สื่อแบบดั้งเดิม"  (Traditional Media)  ซึ่งได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติแห่งระบบตัวเลข" (Digital Revolution)  ทำให้ข้อมูลข่าวสารไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด เช่น ข้อความเสียง ภาพเคลื่อนไหว รูปภาพ หรืองานกราฟิก ได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นภาษาอีกชนิดหนึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมด คือ สามารถอ่านและส่งผ่านได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วยังสามารถนําเสนอในลักษณะใดก็ได้ตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้งาน  ความเปลี่ยนแปลงนี้ ถูกเรียกขานว่า "การทำให้เป็นระบบตัวเลข" หรือ "ดิจิไทเซชั่น" (Digitization)  ด้วยระบบที่มีการทําให้เป็นระบบตัวเลข เป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่ทําให้เกิด "สื่อใหม่" (New Media) ขึ้น เป็นสื่อที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับระบบตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์และระบบการสะท้อนกลับ หรือ “อินเตอร์ แอคทีฟ” (Interactive) คาดหวังกันว่าสื่อใหม่ จะสามารถตอบสนองความต้องการของ "ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร" (Seeker) ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าสื่อแบบดั้งเดิม  เนื่องจากสื่อใหม่ไม่มี ข้อจำกัด ในด้านเวลา (Time) และเนื้อที่ (Space) เหมือนอย่างเคยเป็นข้อจำกัดของสื่อแบบดั้งเดิมมาก่อน (สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ, www, ม.ป.ป.)
สื่อใหม่  หมายถึง ระบบการสื่อสารหรือเชื่อมต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ของเครือข่ายระดับโลก ได้แก่ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) บริการระดับเวิลต์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) บริการข้อมูลออนไลน์เชิงพาณิชย์ (Commercial on-line Service) เป็นต้น (สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ, 2545)
เควิ้น  คาวาโมโต้  (Kevin Kawamoto, 1997)  ได้ให้ความหมายของ "สื่อใหม่"  (New Media) ว่าหมายถึง ระบบการสื่อสาร หรือระบบที่มีการเชื่อมต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ ของเครือข่ายในระดับโลก
ธิดาพร ชนะชัย (2550: 1-3)  ได้ให้ความหมายของ สื่อใหม่ (New media)  โดยแยกออกเป็น 3 ประเด็นดังต่อไปนี้
                1)  Digital Media เป็นการสื่อสารไร้สายที่รวดเร็วด้วยระบบไฟเบอร์ออฟติก เชื่อมต่อข้อมูลผ่านดาวเทียม
                2)  สื่อซึ่งเป็นสื่อใหม่ที่นอกเหนือจากสื่อพื้นฐานเดิมที่มีอยู่
                3)  สื่อสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เพื่อ Support งานบางอย่าง โดยเน้น Creativity Innovation
เคนท์  เวอร์ทาม และ เอียน เฟนวิกค์ (Kent Wertime and Ian Fenwick) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับสื่อใหม่ (New Media) และการตลาดดิจิทัล และนิยามสื่อใหม่ว่าหมายถึง เนื้อหา (content) ที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยลักษณะสำคัญของเนื้อหาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วย “อิสระ 5 ประการ” (5 Freedoms) ได้แก่ (ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และ ประภัสสร วรรณสถิต, ผู้แปล, 2551)
                1) อิสระจากข้อจำกัดด้านเวลา (Freedom from Scheduling) เนื้อหาที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรับและส่งข่าวสารได้ในเวลาที่ตนต้องการ และไม่จำเป็นต้องชมเนื้อหาต่างๆ ตามเวลาที่กำหนด
                2)  อิสระจากข้อจำกัดด้านพรมแดน (Freedom from Geological Boundaries) เนื้อหาในรูปแบบดิจิทัลเป็นเนื้อหาที่รับข้อมูลข่าวสารได้ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็วทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรับ หรือค้นหาข้อมูลข่าวสารจากประเทศใดก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของบุคคลแต่ละคน
                3) อิสระจากข้อจำกัดด้านขนาด (Freedom to Scale) มีเนื้อหาที่สามารถย่อหรือปรับขยายขนาดหรือเครือข่ายได้ เช่น การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ทั่วโลก หรือปรับให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงก็ได้
                4) อิสระจากข้อจำกัดด้านรูปแบบ (Freedom from Formats) เนื้อหาแบบดิจิทัลไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบ หรือลักษณะที่ตายตัว สื่อดั้งเดิม เช่น สปอร์ตโฆษณามาตรฐานทางโทรทัศน์ถูกกำหนดว่าต้องมีความยาว 30 วินาที สื่อสิ่งพิมพ์ต้องมีครึ่งหน้าหรือเต็มหน้าเป็นต้น แต่สื่อดิจิทัล เช่น ไฟล์วิดีโอภาพที่ถ่ายจากกล้องในโทรศัพท์มือถือแล้วนำลงไปไว้ในเว็บไซต์จะต้องมีความยาวกี่วินาที หรือมีความละเอียดของไฟล์เป็นเท่าไหร่ก็ได้ เป็นต้น
                5) อิสระจากยุคนักการตลาดสร้างเนื้อหามาสู่ยุคนักบริโภคริเริ่มสร้าง และควบคุมเนื้อหาเอง (From Marketer-Driven to Consumer-Initiated, Created and Controlled) ด้วยพัฒนาการเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้เจ้าของสื่อไม่อาจควบคุมการแพร่กระจายของสื่อได้เหมือนอดีต เนื้อหาที่พบในบล็อก (Blog) หรือคลิปวิดีโอในเว็บไซต์ของ YouTube และสื่อผสมใหม่ๆ อาจสร้างสรรค์จากผู้บริโภคคนใดก็ได้ เกิดเป็นเนื้อหาที่สร้างจากผู้บริโภค (Consumer-Created Content) หรือเป็นคำพูดแบบปากต่อปากฉบับออนไลน์ (Online Word-of-Mouth)ที่แพร่ กระจายไปอย่างรวดเร็ว
                ซึ่งสอดคล้องกับ ขวัญฤทัย สายประดิษฐ์  (2551: 43) กล่าวถึงคุณลักษณะของสื่อใหม่ว่า สื่อใหม่เป็นสื่อที่ตอบสนองความต้องการสารสนเทศได้ตามความต้องการ เปิดรับสารของผู้รับสารมากที่สุด เพราะสื่อใหม่สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบรรจุเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารได้อย่างเป็นระบบ มีการค้นหาข้อมูลที่ต้องการง่าย อันจะส่งผลให้เกิดความสำเร็จในงานเผยแพร่ และรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้มากกว่า อีกทั้งยังใช้คุณสมบัติของระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ผสมผสานสื่อต่าง ๆ ที่เรียกว่าสื่อผสมผสาน
             
 ประเภทของสื่อใหม่
                ประเภทของสื่อใหม่ คือ รูปแบบเนื้อหาแบบดิจิทัลที่พบเห็นในปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยสื่อใหม่แต่ละประเภทมีความโดดเด่นและแตกต่างกันตามประโยชน์และวัตถุประสงค์ในการใช้สื่อประเภทสื่อใหม่  สามารถสรุปได้ดังนี้ (ปิยะพร  เขตบรรณพต, 2553: 9) และ (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www)
1) เว็บไซต์ (Web site)
2) อินเทอร์เน็ต (Internet)
3) อีเมล (E-mail)
4) เทคโนโลยีสำหรับอุปกรณ์พกพาหรือแพลตฟอร์มเคลื่อนที่ (Mobile Platform)
5) วิดีโอเกม และโลกเสมือนจริง
6) ซีดีรอมมัลติมีเดีย
7) ซอฟต์แวร์
8) บล็อกและวิกิ
9)  หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)
10)  ตู้ให้บริการสารสนเทศ
11)   โทรทัศน์โต้ตอบ
12)   อุปกรณ์พกพาหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น โทรศัพท์มือถือ พีดีเอ พอดแคสต์
13)   นวนิยายแบบข้อความหลายมิติ (Hypertext fiction)
จากนิยามข้างต้น สรุปได้ว่าสื่อใหม่ (New Media) หมายถึง  สื่อที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจากระบบอนาล็อก หรือสื่อดั้งเดิม มาเป็นระบบดิจิทัล ทำหน้าที่ส่งสารได้หลายอย่างรวมกัน คือ ภาพ เสียง และข้อความไปพร้อมกัน เช่น Internet Website         E-Book E-mail เป็นต้น และสามารถตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารได้อย่างอิสระมากขึ้น ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้จะพัฒนาต้นแบบสื่อใหม่เพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยเลือกพัฒนาเฉพาะสื่อ Mobile Platform

ประโยชน์ที่ได้จากสื่อใหม่  (New Media)
จากการศึกษางานวิจัย และบทความ ของธิดาพร ชนะชัย (2550) และ ขวัญฤทัย  สายประดิษฐ์ (2551: 50-51) สามารถสรุปประโยชน์ที่ได้จาก สื่อใหม่ (New Media) ดังต่อไปนี้
1) สามารถทำให้ค้นหาคำตอบในเรื่องบางอย่างได้ โดยการเปิดหัวข้อไว้ ก็จะมีผู้สนใจและมีความรู้แสดงความคิดเห็นไว้มากมาย
2) ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการบริหารข้อมูล
3)ช่วยสนับสนุนในการทำ E-Commerce เป็นรูปแบบการค้าบนอินเทอร์เน็ตที่สั่งซื้อสินค้าได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ catalog อีกต่อไป
4) สามารถให้ข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายกลุ่มเป้าหมาย เผยแพร่ไปยังกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้ในระยะเวลาพร้อมๆ กัน
5)สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วประเทศและทั่วโลก
6) ไม่ต้องเสียค่าเวลา สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ ไม่ต้องจ่ายค่าเนื้อที่ให้นิตยสาร หนังสือพิมพ์ เพราะเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายกับสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์และภาพยนตร์แล้วมีอัตราค่อนข้างจะถูกกว่า
7) สื่อใหม่ยังเป็นสื่อที่มีความสามารถในการติดต่อ 2 ทาง จึงทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบได้ทันที
             
               สรุปได้ว่าการที่นำสื่อใหม่เข้ามาใช้งานในปัจจุบันนั้นจะทำให้ สามารถเข้าถึงผู้รับสารได้มากขึ้น  เปิดกว้างให้กับทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารในการเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ที่ข้อจำกัดของสื่อแบบเดิมไม่สามารถทำได้  มีความทันสมัยมากขึ้น สามารถโต้ตอบสื่อสารได้แบบ Real-time ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง  เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งบุคคลอื่น

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง

นวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง 

นวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐพอเพียง คืออะไร ?
           
               
ความหมาย

                นวัตกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ
การจัดการ ใหม่ที่คิดค้น และพัฒนาจากองค์ความรู้และประสบการณ์ของชุมชน เพื่อแก้ปัญหา
การประกอบอาชีพ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการเสริมสร้างสุขภาวะอย่างเป็นระบบ
ตามภูมิสังคมของชุมชน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

การดำเนินงาน

                จัดทำระบบข้อมูลนวัตกรรม โดยการสืบค้น รวบรวมนวัตกรรมจากทุกจังหวัด
กลั่นกรองจัดทำเครือข่ายและระบบสารสนเทศ เพื่อการเผยแพร่ในรูปแบบเว็บไซต์ ซีดีรอม
และสื่ออื่น ๆ เพื่อเป็นแหล่งความรู้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่และ บุคคลทั่วไป
การพิจารณาความเป็นนวัตกรรม
                       1.เป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการ การจัดการ ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน หรือ เป็นผลงาน ที่เป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการ การจัดการ ที่ได้รับการปรับปรุง พัฒนา อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลดีกว่าเดิม
                       2. ผลงานและ การพัฒนาต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับภูมิสังคมของชุมชน และอยู่บนพื้นฐานคุณธรรม จริยธรรม
                       3. มีความพึงพอใจของคนในชุมชน และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
ด้านเศรษฐกิจและสังคม ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
สาขานวัตกรรมภูมิปัญญาเศรษฐกิจพอเพียง

                 แบ่งออกเป็น 5 สาขา ประกอบด้วย
                      ( 1. )สาขาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ระบบการผลิตการเกษตรที่มีความสอดคล้อง
สัมพันธ์ เกื้อกูลกับ ระบบนิเวศน์และทรัพยากรของแต่ละพื้นที่มีการใช้ปัจจัยการผลิตหมุนเวียน
ภายในฟาร์ม ผลผลิตที่ได้มีความ ปลอดภัยและมีความหลากหลายในแปลงเกษตรเพื่อลดความเสี่ยง
ทางเศรษฐกิจอีกทั้งมีกระบวนการศึกษา ค้นคว้า แลกเปลี่ยนความรู้ จนสามารถมีความรู้
ที่จะถ่ายทอดได้ ทั้งจากรุ่นพ่อแม่ด้วยกัน และรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก   จำแนกได้ 5 ลักษณะคือ

                       1.วนเกษตร เป็นระบบการเกษตรที่นำหลักการความยั่งยืนของระบบป่าธรรมชาติ
มาเป็นแนวทาง เน้นการปลูกพืชหลากหลาย ให้ความสำคัญกับพันธ์พื้นบ้าน มีการลงทุนด้านปัจจัย
การผลิต หรือการจัดการน้อย เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สวนสมรมในภาคใต้ เป็นมรดกตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าตายาย พบทั่วไปบริเวณพื้นที่ลุ่มริมน้ำหรือที่ราบต่ำ มีพืชหลากหลายชนิดทั้งพืชดั้งเดิมและปลูกเสริมใหม

                       2.เกษตรผสมผสาน เป็นระบบการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพื้นที่
เดียวกันและใช้ทรัพยากร ในไร่นาอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างความสมดุลและ
ความอุดมสมบูรณ์ให้กับ สภาพแวดล้อม  ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามกิจกรรมหลัก เช่น นาสวน
ผสมผสาน สวนผสมผสาน สวนหลังบ้าน ส่วนใหญ่ระบบเกษตรผสมผสานจะหมายถึงระบบ
การเกษตรที่มี นาข้าวเป็นหลักและมีการปลูกพืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น และเลี้ยงสัตว์เพื่อ
ความหลากหลาย

                       3.เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบที่มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วย
การปฏิเสธ การ ใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิดในการผลิต รวมทั้งฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต
ของพืชและสัตว์ ชนิดต่างๆ เน้นการฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรโดยเฉพาะการปรับปรุงดิน

                       4.เกษตรธรรมชาติ เป็นระบบเกษตรที่ไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ไถพรวน ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีกำจัด แมลงศัตรูพืช

                       5.เกษตรทฤษฏีใหม่ตามแนวพระราชดำริ เป็นระบบการเกษตรที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงคิดค้นและคำนวณตามหลักวิชาการในการบริหารจัดการทรัพยากร
ในการผลิตในด้านการเกษตร โดยให้เกษตรกรที่มีที่ดินจำนวนน้อย ทำการแบ่งสัดส่วนที่
ทำการเกษตรออกเป็น 4 ส่วนประกอบด้วยพื้นที่
                           1) แหล่งน้ำ 30%
                           2) พื้นที่ปลูกข้าว 30%
                           3) พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชสวน 30%
                           4) พื้นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์และอื่นๆ10 %

                      ( 2.) สาขาการผลิต   เทคโนโลยีการผลิตพืช ประมง ปศุสัตว์ ที่ได้รับการปรับปรุง
และพัฒนาการผลิตจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ จนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ
ผลผลิตได้ (ลดต้นทุน เพิ่มปริมาณผลผลิต รักษาคุณภาพ)  ประกอบด้วย การปรับปรุงพันธุ์
การจัดการดิน น้ำ ศัตรูพืช วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว การบริหารฟาร์ม การทำแผนธุรกิจการผลิตพืช/ประมง/ปศุสัตว์ โดยแบ่งเป็น 5 สาขา

                           1.พืชไร่/ข้าว
                           2.พืชสวน
                           3.พืชผัก สมุนไพร ไม้ดอก-ไม้ประดับ
                           4.ประมง/ปศุสัตว์
                           5.เครื่องมือ-เครื่องจักรกลการเกษตร

                       (3.)สาขาการแปรรูปและผลิตภัณฑ์  เทคนิค เทคโนโลยีการจัดการผลผลิตเพื่อ
เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร แบ่งเป็น 3 ด้านคือ

                           1.การแปรรูปผลิตภัณฑ์
                           2.หัตถกรรม ศิลปประดิษฐ์
                           3.ผ้าและสิ่งทอ

                       (4.)สาขาสถาบันเกษตรกร เป็นสถาบันเกษตรกรบนหลักการพึ่งพาตนเอง  มีระบบบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่พึ่งแก่เกษตรกร ในการแก้ปัญหาการประกอบอาชีพ
ด้านการเกษตร และการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของสมาชิก  ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ

                           1. กลุ่มเกษตรกร
                           2. กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
                           3. กลุ่มยุวเกษตรกร
                           4. กลุ่มวิสาหกิจชุมชน

                     ( 5. )สาขาปราชญ์เกษตร บุคคล ที่มีการดำเนินชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแบบอย่างแก่บุคคลทั่วไปได้ มีความสามารถโดดเด่นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี มีความคิด
ริเริ่มสร้างสรรค์ แก้ปัญหาการประกอบอาชีพ และพัฒนาอาชีพการเกษตรจนประสบผลสำเร็จ
โดยบุคคลประกอบด้วย

                           1. เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร
                           2. เกษตรกร

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ

บทความ เรื่องความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ

ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเป็นยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลายๆด้านทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอันนำไปสู่การปรับตัวเพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ทุกประเทศทั่วโลกกำลังมุ่งสู่กระแสใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า สังคมความรู้ (KnowledgeSociety) และระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-Based Economy) ที่จะต้องให้ความสำคัญต่อการใช้ความรู้และนวัตกรรม (Innovation) เป็นปัจจัยในการพัฒนาและการผลิตมากกว่าการใช้เงินทุนและ

       ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ ซึ่งประกอบกันเป็น “สารสนเทศ” นั้น สามารถลื่นไหลได้สะดวก รวดเร็ว จนสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ระดับบุคคลขึ้นไปถึงระดับองค์กรอุตสาหกรรม ภาคสังคม ตลอดจนในระดับประเทศและระหว่างประเทศ จนกระทั่งภาวะ “ไร้พรหมแดน” อันเนื่องมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในกิจกรรมและวงการต่างๆ และนับเป็นความกลมกลืนสอดคล้องกันอย่างยิ่ง ที่การพัฒนาบุคลากรในสังคมอันประกอบด้วยภาคการศึกษา และการฝึกอบรมเป็นเรื่องราวของการเรียนรู้สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นข้อมูล (Data) ข่าวสาร (Information)ก็ตาม (ไพรัช ธัชยพงษ์และพิเชษ ดุรงคเวโรจน์ .2541

        การพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบท ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ในลักษณะ เศรษฐศาสตร์เครือข่าย หรือที่เรียกว่า (networked economy) มีการเปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว(เพียงแค่กดเม้าส์ของคอมพิวเตอร์)เสมือนดังไม่มีพรมแดนของประเทศ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์ ทาง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ระหว่างประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ ส่งผลให้โลกมีสภาพ เหมือนเป็นหนึ่งเดียว มีการแข่งขันสูงผลกระทบในวงกว้าง (systemic and dynamism ) ต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนที่ทำไห้ทรัพยากรมนุษย์เกิดการปรับตัวพัฒนาให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่อยู่ในโลกเศรษฐกิจใหม่

สรุป

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เรื่อยมาทำให้เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไปตามยุคสมัยในการพัฒนา เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ทำให้ผู้ที่เสพเทคโนโลยีอย่างเราๆ ต่อก้าวตามไปให้ทันแต่นั่นต้องหมายถึงการมีสติในการใช้เทคโนโลยีด้วย

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวฝนทิพย์ ไกรนรา ชือเล่น น้ำฝน
ประวัติการทำงาน
ตำแหน่ง : นักวิชาการคอมพิวเตอร์ แผนกประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
ประวัติการศึกษา
ปริญญาตรี : วท.บ.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์